หากคุณเป็นนักเทรดที่มีความสามารถ แต่ขาดแคลนเงินทุน การสอบ FTMO ก็ถือเป็นตัวเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยคุณได้ แต่มันคืออะไร? เชื่อถือได้หรือไม่? และมีเงื่อนไขในการได้รับเงินทุนอย่างไร? ทีมงาน Forexlearning จะพาทุกท่านไปติดตาม
โครงการ FTMO เดิมเรียกว่า Ziskejucet.cz เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2557 ในสำนักงานเล็ก ๆ ที่กรุงปราก จากกลุ่มนักเทรดรายวันที่แนวคิดแตกต่างกัน สู่การตัดสินใจเริ่มโครงการด้วยแรงบันดาลใจที่ว่า หากนักเทรดของพวกเขาทำกำไร พวกเขาก็จะได้รับกำไรเช่นกัน ดังนั้น การช่วยเหลือผู้อื่นจึงถือเป็นผลประโยชน์สูงสุด
FTMO จึงเป็นเว็บไซต์บริการจัดสรรเงินทุนให้กับนักเทรดที่มีความสามารถมาทำกำไรให้กับบริษัท โดย FTMO จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการหาเงินทุนมาให้นักเทรดนำไปบริหารจัดการ อย่างไรก็ดี การจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท นักเทรดจำเป็นจะต้องผ่านการสอบ FTMO ที่บริษัทเปิดรับสมัครก่อนจึงจะสามารถเซ็นสัญญาได้
จุดเด่นของโครงการนี้ คือ การเป็นกองหนุนเงินทุนให้กับนักเทรดที่มีฝีมือ แต่ขาดแคลนเงินทุน รวมถึงนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนดีกว่า Hedge Fund โดยไม่ต้องมีเงื่อนไข เช่นเดียวกับ MFF โดยนักเทรดจะได้รับส่วนแบ่งเป็นค่าคอมมิชชัน หรือเปอร์เซ็นต์จากการเทรด ในอัตราส่วนนักเทรด 70% ต่อ FTMO 30% สูงสุดได้ถึง 90%
ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ดังนั้น นักลงทุนจะต้องศึกษาหาความรู้ก่อนการเทรด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเงินทุนที่นำมาเทรดนี้เป็นของผู้อื่น โครงการจึงจำเป็นต้องมีการทดสอบวัดความสามารถจากการเทรด เพื่อเป็นเกณฑ์ในการให้ยืมทุน ตลอดจนขนาดพอร์ตที่จะได้รับสำหรับการเทรด โดยการสอบจะแบ่งออกเป็น 2 ระยะ นักเทรดจำเป็นต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของการสอบที่ตนเองสมัคร ทั้งการทำไรให้ได้ตามเป้าหมาย และจำนวนที่สามารถขาดทุนได้
อัตราค่าสมัครสอบ รวมถึงเงินทุนที่จะได้รับนั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถของนักลงทุน โดยโครงการ FTMO แบ่งการสอบออกตามขนาดพอร์ตเป็น 5 ขนาด 2 แบบ ดังนี้
บัญชีประเภทนี้จะมีระยะเวลาทดสอบความสามารถในช่วงแรกอยู่ที่ 30 วัน ส่วนระยะที่ 2 อยู่ที่ 60 วัน ซึ่งทั้ง 2 ระยะนี้ นักเทรดจะต้องเทรดอย่างน้อย 10 วัน โดยมีส่วนที่แตกต่างกันของบัญชีขนาด 10,000 ดอลลาร์ แบบปกติ (Normal) กับบัญชีขนาด 10,000 ดอลลาร์ แบบแข็งกร้าว (Aggressive) ดังนี้
- ขาดทุนรายวันได้ไม่เกิน 500 ดอลลาร์
- ขาดทุนสะสมได้ไม่เกิน 1,000 ดอลลาร์
- กำไรเป้าหมายระยะที่ 1 อยู่ที่ 1,000 ดอลลาร์ ระยะที่ 2 อยู่ที่ 500 ดอลลาร์
- สามารถขอคืนค่าสมัครได้ถึง 155 ยูโร
- ขาดทุนรายวันได้ไม่เกิน 1,000 ดอลลาร์
- ขาดทุนสะสมได้ไม่เกิน 2,000 ดอลลาร์
- กำไรเป้าหมายระยะที่ 1 อยู่ที่ 2,000 ดอลลาร์ ระยะที่ 2 อยู่ที่ 1,000 ดอลลาร์
- สามารถขอคืนค่าสมัครได้ถึง 250 ยูโร
บัญชีประเภทนี้จะมีระยะเวลาทดสอบความสามารถในช่วงแรกอยู่ที่ 30 วัน ส่วนระยะที่ 2 อยู่ที่ 60 วัน ซึ่งทั้ง 2 ระยะนี้ นักเทรดจะต้องเทรดอย่างน้อย 10 วัน โดยมีส่วนที่แตกต่างกันของบัญชีขนาด 25,000 ดอลลาร์ แบบปกติ (Normal) กับบัญชีขนาด 25,000 ดอลลาร์ แบบแข็งกร้าว (Aggressive) ดังนี้
- ขาดทุนรายวันได้ไม่เกิน 1,250 ดอลลาร์
- ขาดทุนสะสมได้ไม่เกิน 2,500 ดอลลาร์
- กำไรเป้าหมายระยะที่ 1 อยู่ที่ 2,500 ดอลลาร์ ระยะที่ 2 อยู่ที่ 1,250 ดอลลาร์
- สามารถขอคืนค่าสมัครได้ถึง 250 ยูโร
- ขาดทุนรายวันได้ไม่เกิน 2,500 ดอลลาร์
- ขาดทุนสะสมได้ไม่เกิน 5,000 ดอลลาร์
- กำไรเป้าหมายระยะที่ 1 อยู่ที่ 5,000 ดอลลาร์ ระยะที่ 2 อยู่ที่ 2,500 ดอลลาร์
- สามารถขอคืนค่าสมัครได้ถึง 345 ยูโร
บัญชีประเภทนี้จะมีระยะเวลาทดสอบความสามารถในช่วงแรกอยู่ที่ 30 วัน ส่วนระยะที่ 2 อยู่ที่ 60 วัน ซึ่งทั้ง 2 ระยะนี้ นักเทรดจะต้องเทรดอย่างน้อย 10 วัน โดยมีส่วนที่แตกต่างกันของบัญชีขนาด 50,000 ดอลลาร์ แบบปกติ (Normal) กับบัญชีขนาด 50,000 ดอลลาร์ แบบแข็งกร้าว (Aggressive) ดังนี้
- ขาดทุนรายวันได้ไม่เกิน 2,500 ดอลลาร์
- ขาดทุนสะสมได้ไม่เกิน 5,000 ดอลลาร์
- กำไรเป้าหมายระยะที่ 1 อยู่ที่ 5,000 ดอลลาร์ ระยะที่ 2 อยู่ที่ 2,500 ดอลลาร์
- สามารถขอคืนค่าสมัครได้ถึง 345 ยูโร
- ขาดทุนรายวันได้ไม่เกิน 5,000 ดอลลาร์
- ขาดทุนสะสมได้ไม่เกิน 10,000 ดอลลาร์
- กำไรเป้าหมายระยะที่ 1 อยู่ที่ 10,000 ดอลลาร์ ระยะที่ 2 อยู่ที่ 5,000 ดอลลาร์
- สามารถขอคืนค่าสมัครได้ถึง 540 ยูโร
บัญชีประเภทนี้จะมีระยะเวลาทดสอบความสามารถในช่วงแรกอยู่ที่ 30 วัน ส่วนระยะที่ 2 อยู่ที่ 60 วัน ซึ่งทั้ง 2 ระยะนี้นักเทรดจะต้องเทรดอย่างน้อย 10 วัน โดยมีส่วนที่แตกต่างกันของบัญชีขนาด 100,000 ดอลลาร์ แบบปกติ (Normal) กับบัญชีขนาด 100,000 ดอลลาร์ แบบแข็งกร้าว (Aggressive) ดังนี้
- ขาดทุนรายวันได้ไม่เกิน 5,000 ดอลลาร์
- ขาดทุนสะสมได้ไม่เกิน 10,000 ดอลลาร์
- กำไรเป้าหมายระยะที่ 1 อยู่ที่ 10,000 ดอลลาร์ ระยะที่ 2 อยู่ที่ 5,000 ดอลลาร์
- สามารถขอคืนค่าสมัครได้ถึง 540 ยูโร
- ขาดทุนรายวันได้ไม่เกิน 10,000 ดอลลาร์
- ขาดทุนสะสมได้ไม่เกิน 20,000 ดอลลาร์
- กำไรเป้าหมายระยะที่ 1 อยู่ที่ 20,000 ดอลลาร์ ระยะที่ 2 อยู่ที่ 10,000 ดอลลาร์
- สามารถขอคืนค่าสมัครได้ถึง 1,080 ยูโร
บัญชีประเภทนี้จะมีระยะเวลาทดสอบความสามารถในช่วงแรกอยู่ที่ 30 วัน ส่วนระยะที่ 2 อยู่ที่ 60 วัน ซึ่งทั้ง 2 ระยะนี้ นักเทรดจะต้องเทรดอย่างน้อย 10 วัน โดยบัญชีประเภทนี้จะมีเพียงแบบปกติ (Normal) เพียงอย่างเดียว รายละเอียด ดังนี้
- ขาดทุนรายวันได้ไม่เกิน 10,000 ดอลลาร์
- ขาดทุนสะสมได้ไม่เกิน 20,000 ดอลลาร์
- กำไรเป้าหมายระยะที่ 1 อยู่ที่ 20,000 ดอลลาร์ ระยะที่ 2 อยู่ที่ 10,000 ดอลลาร์
- สามารถขอคืนค่าสมัครได้ถึง 1,080 ยูโร
เมื่อนักเทรดสามารถผ่านการทดสอบทั้ง 2 ระยะแล้ว จะสามารถเซ็นสัญญาเพื่อขึ้นบัญชีเป็น FTMO Trader ได้ จากนั้นข้อจำกัดบางประการจะถูกยกเลิก และสามารถแบ่งส่วนแบ่งกับโครงการ ตลอดจนสามารถขอคืนเงินค่าสมัครได้ ซึ่งค่าสมัครเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับขนาดเงินทุนที่ผู้สมัครเลือก
การทดสอบจะดำเนินเหมือนการเทรดจริง ดังนั้น โปรแกรมที่ใช้ในการเทรด ทุกคนจึงสามารถใช้งานได้อย่างแน่นอน ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่บนแพลตฟอร์ม MT4, MT5 และ cTrader ที่มีเครื่องมือต่าง ๆ รองรับ ดังนั้น สิ่งที่ทุกคนต้องทำ คือ การศึกษาและเตรียมความพร้อมให้ดีก่อนเข้าทดสอบ
โดยสรุปแล้ว การสอบ FTMO ถือเป็นโครงการหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับนักเทรดที่มีฝีมือ แต่ขาดแคลนเงินทุน ทำให้นักเทรดสามารถทำกำไรร่วมกับบริษัทได้ผ่านการสอบและการเซ็นสัญญา ซึ่งขนาดเงินทุนที่นักเทรดจะได้รับขึ้นอยู่กับแผนที่เลือก โดยที่อัตราค่าสมัครของแต่ละแผนจะขึ้นอยู่กับขนาดเงินทุนที่เลือก ดังนั้น ทุกคนควรเลือกแผนที่เหมาะสมกับความสามารถของตัวเอง
อย่างไรก็ดี โปรดศึกษารายละเอียด รวมถึงกติกาต่าง ๆ ให้ชัดเจนก่อนสมัครสอบ นอกจากนี้ อย่าลืมเพิ่มพูนความรู้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การทดสอบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
Source : FTMO
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สามารถศึกษาความรู้เพิ่มเติมดังนี้
คอร์สเรียนสำหรับมือใหม่ ฟรี!! : คลิกที่นี่
คลังบทความความรู้เพิ่มเติม : คลิกที่นี่
บทความรีวิวโบกเกอร์เพิ่มเติม : คลิกที่นี่
บทวิเคราะห์รายวัน : คลิกที่นี่