ในการเทรด Forex ทุกคนคงจะต้องเคยเห็นหรือได้ยินคำว่า "Commission" มากันอย่างแน่นอน ซึ่งคำศัพท์คำนี้มีประโยชน์มากเพราะจะเป็นเครื่องมือในการช่วยประเมินโบรกเกอร์ที่เราเลือกใช้บริการ ว่ามีความจริงใจกับเรามากน้อยแค่ไหน เอาเปรียบเรามากน้อยแค่ไหน? มาดูกันครับกับคำว่า Commissions นั้นมีความหมายว่าอย่างไรกันครับ
Commission คือ ค่าธรรมเนียมที่โบรกเกอร์เรียกเก็บจากเทรดเดอร์ในฐานะผู้ให้บริการในการเทรด ซึ่งโบรกจะได้กำไรจากค่าธรรมเนียมตรงนี้แหละครับ แม้ว่าบางโบรกเขาจะบอกว่าไม่คิดค่า Commission เพราะว่าจริง ๆ แล้วเค้าได้บวกกับค่า Spread (ค่าส่วนต่างของราคาซื้อและราคาขายของตลาดในขณะนั้น) ไปแล้วนั่นเอง ซึ่งอาจจะคิดเพียงแค่ $0.1 ต่อการเทรด 1 lot ($100,000) ก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพคล่องทางตลาด (Liquidity) หรือปัจจัยอื่นๆ ตามแต่โบรกเกอร์นั้น ๆ จะคิดคำนวณช่องทางรายได้ของเขาครับ
แต่ทั้งนี้ก็มีบางโบรกเกอร์ที่เก็บค่า Commission เพราะว่าค่า Spread ของเขาน้อยเกินไป หรือบางโบรกเกอร์หรือบางระบบบัญชีก็คิดทั้งสองอย่าง… ครับพวกที่ทำงานระบบการเงิน การธนาคาร โบรกเกอร์ ฯลฯ พวกนี้เขาจะสร้างอะไรที่สลับซับซ้อนให้เราตามไม่ทันเสมอ ๆ อยู่แล้วครับ
แต่ Commissions อีกคำ จะหมายถึง ค่านายหน้าที่โบรกเกอร์ให้เราเวลาเราหาลูกค้าให้เขาได้ เป็นเงินพิเศษตอบแทนจากทางโบรกเกอร์ที่คุณนั้นทำการชักชวนคนมาสมัครสมาชิกและทำการเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์นั้น ๆ เช่น ชวนคนมาสมัครเป็นสมาชิกของทางโบรกเกอร์ XM, FBS เป็นต้น โดยผู้ชักชวนจะได้รับทั้ง % จากการสมัคร และ % จากทุก ๆ ยอดเทรดอีกด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการหาเงินเพิ่มขึ้นจากการเทรด forex ที่คุณควรรู้ แต่ในบทความนี้ผมจะข้ามไป เพราะได้กล่าวอย่างละเอียดในบทความ “Affiliate, IB, Partners, รีเบต คืออะไร” แล้วครับ
ในการเทรด Forex นั้นเราจะต้องจ่ายค่าบริการให้โบรกเกอร์ ซึ่งเขาจะยอมเรียกว่าค่า Commissions หรือไม่ก็ตาม ซึ่งโดยรวมทั้งหมดหลายชั้นหลายซ้อนถือว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับการซื้อขายหุ้น หรือกองทุนในบ้านเรา ซึ่งมีค่าคอมมิสชันจะอยู่ที่ประมาณ 0.2% ของมูลค่าที่ทำการเทรด
ดังนั้นการที่โบรคเกอร์ Forex ส่วนใหญ่ ทำการตลาดโดยอ้างว่า ฟรีค่าคอมมิสชัน (Free Commissions) ที่จริงแล้วมันไม่จริงเสียทั้งหมดครับ ซึ่งมันอาจทำให้เราเข้าใจผิดได้
ในตลาด Forex นั้น จะคล้าย ๆ กับตลาดอื่น ๆ นั่นคือมีการตั้งซื้อ (Bid) และตั้งขาย (Ask) ราคาตั้งซื้อ คือราคาที่เราสามารถขายได้ในขณะนั้น ส่วนราคาตั้งขายก็คือราคาที่เราสามารถซื้อได้ในขณะนั้น
ผลต่างระหว่างราคาตั้งซื้อและตั้งขายนั้นเรียกว่า Spread ยกตัวอย่าง EUR/USD ราคา Bid ที่ 1.5157 และ Ask ที่ 1.5160 ดังนั้นค่า Spread ของ EUR/USD จะเท่ากับ 0.0003 หรือ 3 PIPS ถ้าเราทำการเปิด Order ทำการซื้อขณะนั้น เราจะซื้อได้ที่ 1.5160 และ Transaction ของเราจะขึ้นเป็น -3 PIPS ทันที ถ้าเราปิดออร์เดอร์ขณะนั้นโดยอัตราแลกเปลี่ยนยังไม่เปลี่ยนแปลงเราจะขายได้ที่ 1.5157 และขาดทุนทันที 0.0003 หรือ 3 PIPS
จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นได้ว่าถ้ายิ่ง Spread กว้างมาก เราก็จะต้องจ่ายส่วนต่างนี้มากขึ้นไปด้วย ส่วนต่างตรงนี้เองที่เป็นรายได้ของโบรกเกอร์ และเราหรือผู้เทรดจำเป็นจะต้องจ่ายทุกครั้งที่เปิด Order และทำการเทรด (ถ้าจริงใจกันจริงๆ เขาควรจะเรียกกันไปเลยตรง ๆ ว่า Commissions Spread ให้ชัด ๆ ไปเลยใช่ไหมครับ นี่แหละคนหัวหมอหัวการเงินเขาคิดและทำกันแบบนี้แหละครับ)
บางคนอาจจะเห็นว่า เสียแค่ 0.0003 จากราคาประมาณ 1.4 นั้นไม่เท่าไหร่เอง… ถ้าคิดเป็น % ก็แค่ประมาณ 0.03% เอง แต่อย่าลืมนะครับว่าการเทรด Forex นั้นมีระบบ Leverage ถ้า Leverage ที่ 1:100 นั้นก็เสมือนว่าเราส่งคำสั่งซื้อด้วยเงินทุน 100 เท่าจากเงินทุนจริงของเรา ดังนั้นถ้าเทียบกับเงินทุนจริงของเรา มันจะไม่ใช่แค่ 0.03% แต่มันจะเป็น 3% นั้นเอง หรือถ้าเทรดในระบบ Leverage 1:500 จำนวนเงินตรงนี้ก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีกเป็น 15% ของเงินทุนจริงของเรา คราวนี้จะเห็นชัดเจนเลยใช่ไหมครับ ว่าเขาฟันกำไรไปเหนาะ ๆ ขนาดไหน แบบนี้เรียก “เสือนอนกิน” ดี ๆ นี่เอง
Broker แต่ละที่จะมีค่า Spread ที่แตกต่างกันไป แต่ละบัญชีก็แตกต่างกัน รวมไปถึงคู่อัตราแลกเปลี่ยนแต่ละคู่ก็อาจมี Spread ที่แตกต่างกันด้วย หรือแม้กระทั้งคู่สกุลเงินคู่เดียวกัน แต่คนละช่วงเวลา บางโบรคเกอร์ค่า Spread ก็สามารถขึ้นลง และไม่ Fix ด้วยเช่นกัน ดังนั้นก่อนเปิดใช้บริการของโบรคเกอร์ ควรตรวจสอบค่า Spread ของโบรคเกอร์นั้นๆ ให้ดีก่อนนะครับ รวมไปถึงระบบ Spread ของโบรคเกอร์นั้น ๆ ว่าเป็นแบบ Fix คงที่ หรือเปลี่ยนแปลงได้ ในกรณีที่ใช้บริการของโบรคเกอร์ที่ไม่ Fix ค่า Spread ก่อนทำการเทรดทุกครั้ง ต้องตรวจสอบค่า Spread ในขณะนั้นก่อนส่งคำสั่ง ซื้อ-ขาย เพราะถ้ารีบร้อนเกินไป กลัวไม่ได้ราคาที่ลงไว้โดยไม่ได้ตรวจสอบ Spread ให้ดีๆ เมื่อคุณเข้าเทรดไปแล้วอาจจะตกใจภายหลังได้ครับ
จะเห็นได้ว่าการเลือกโบรกเกอร์ ค่า Spread ก็เป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งที่สามารถลดค่าใช้จ่ายของเราได้ ถึงแม้มันจะน้อยเมื่อเทียบ กับราคาที่วิ่งขึ้น วิ่งลง ของอัตราแลกเปลี่ยน แต่ถ้าเราประหยัดตรงนี้ได้ แค่ 1-2% ต่อการเทรดแต่ละครั้ง แต่รวมๆ หลายๆ ครั้งก็เป็นจำนวนเงินไม่ใช่น้อยๆ เลยนะครับ
ดังนั้นที่ว่าโบรกเกอร์ Forex หลายโบรกเกอร์ ได้โฆษณาว่าฟรีค่าคอมมิสชัน (Commission) นั้นโปรดเช็คค่าอื่นๆด้วย เช่น ค่า Spread เป็นต้นครับ
ค่า Swap (อ่านว่า สวอป) คือค่าผลต่างของอัตราดอกเบี้ย Overnight Interest บางทีก็เรียก Rollover ตามคู่เงินที่เราเทรด โดยค่า Swap มีทั้งแบบ Debit or Credit คือมีค่าทั้งบวกและลบ เช่น ถ้าเรา Buy EUR/USD เราก็จะได้ค่าดอกเบี้ยของการถือออเดอร์ข้ามคืน แต่ถ้าเรา Sell เราก็จะเสียในส่วนนี้
ดังนั้น Swap ก็คือดอกเบี้ยที่เราจะได้หรือเสียไปให้กับโบรคเกอร์ เมื่อเราทำการเปิดออเดอร์ทิ้งไว้ข้ามคืน (ช่วงตี 4 – ตี 5 ในเวลาประเทศไทย ซึ่งก็แล้วแต่เวลาของ Server ในแต่ละโบรกเกอร์) ดังนั้น หากคุณไม่ต้องการให้มีค่า Swap ที่เป็นลบเกิดขึ้นกับคุณ ให้พึงระวังในการเปิดออเดอร์ข้ามคืน โดยเฉพาะการเปิดออเดอร์ที่มีเป็นจำนวนหลายๆสัญญา เป็นต้น
โดย Swap จะคิดค่าที่ 5 PM ตามเวลาของ New York ตั้งแต่เวลาเปิดจนกระทั่งตลาดปิด คำนวณแบบวันต่อวัน ซึ่งเวลาช้ากว่าประเทศไทยประมาณ 12 ชั่วโมง โดยทุกจุดที่เข้าเราซื้อ-ขายภายในช่วงเวลาก่อน 5PM จะเกิดค่า Overnight Interest
แต่ถ้าซื้อขายเวลา 5.01 PM จะถูกนับไปเป็นอีกวันหนึ่ง และค่า Swap +/- จะโชว์ขึ้นในบัญชีเทรดหลังจากเวลาปิดตลาดประมาณ 1 ชั่วโมง
อัตราค่า Swap นั้นแล้วแต่ที่โบรคเกอร์ของคุณกำหนดไว้ ส่วนใหญ่คุณจะต้องเสียค่า Swap เล็กน้อยจนถึงมาก โดยคืนวันเสาร์และอาทิตย์ไม่มีการคิดค่า Swap แต่จะไปทบในคืนวันพุธแทนซึ่งค่า Swap คืนวันพุธจะมีค่าเป็น 3 เท่าของค่า Swap ปกติ(ซึ่งตรงนี้เองที่หลายคนพลาดแล้วรู้สึกไม่แฟร์) เนื่องจากเป็นการรวบยอดจากคืนวันเสาร์-อาทิตย์มารวมไว้ด้วย โดยสรุปแล้ว Swap ถือเป็นคอมมิชชั่นแบบหนึ่งที่เป็นทั้งบวกและลบคือเราได้และเราจ่าย ซึ่งผมได้กล่าวเรื่อง Swap นี้อย่างละเอียดแล้วในบทความ “Swap คืออะไร” ลองเข้าไปอ่านดูได้ครับ
บ่อยครั้งที่หลาย ๆ คนจะไม่ค่อยมั่นใจบริการของโบรกเกอร์ ที่บอกว่า โบรกเกอร์ของเราจ้องจะให้เราล้างพอร์ท เพื่อที่จะได้เงินจากตรงนั้นทั้งหมด เอาจริง ๆ แล้วโบรคเกอร์ไม่เคยคิดว่าจะให้เราล้างพอร์ทเลยครับ เพราะอะไรหน่ะหรือ? เพราะว่า ใคร ๆ ก็อยากจะได้กำไรจากเราในระยะยาว ให้เราเทรดไปเรื่อย ๆ และเขาก็กินค่าคอมมิชชั่นไปเรื่อยๆ เช่นกันครับ ดังนั้นไอ้คำที่ว่า ลากมาโดน Stop Loss แล้วให้ราคาไปอยู่ทีเดิมบ้างหล่ะ Stop Loss Hunter บ้างนั้น เป็นความคิดไปเองฝ่ายเดียว เพราะว่า เขาอยากจะได้รายได้จากเราในระยะยาวมากกว่าที่จะมาคาดหวังเงิน 100 – 200 เหรียญแต่ได้ครั้งเดียวและให้เราเข็ดออกจากตลาดไป
Commission คือค่าบริการที่เราต้องเสียให้กับทางโบรกเกอร์เมื่อทำการเปิดคำสั่งซื้อขายตามเงื่อนไขของทางโบรกเกอร์ โดยค่า Commission นั้นจะแบ่งย่อยได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นค่า Spread, Swap, หรือแม่แต่ค่านายหน้าในกรณีของ Partner หรือ IB แต่ในส่วนที่เราจะต้องเสียแน่ๆ เลยคือค่า Spread กับ Commission ซึ่งแต่ละโบรกเกอร์จะทำการกำหนดมาไม่เท่ากัน และในส่วนนี้ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความจริงใจของโบรกเกอร์ที่มีต่อลูกค้า ว่าจะเอาเปรียบลูกค้ามากน้อยเพียงใด หวังว่าเพื่อน ๆ จะสามารถนำความรู้จากบทความนี้ ไปประยุกต๋์ใช้เพื่อตัดสินใจในการเลือกใช้โบรกเกอร์ของเพื่อน ๆ ได้อย่างเหมาะสมนะครับ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สามารถศึกษาความรู้เพิ่มเติมได้ตามแหล่ง ดังต่อไปนี้
คอร์สเรียนสำหรับมือใหม่ ฟรี!! คลิกที่นี่
คลังบทความความรู้ทั่วไป คลิกที่นี่
โบรกเกอร์สำหรับมือใหม่ คลิกที่นี่
บทวิเคราะห์รายวัน คลิกที่นี่